เรื่อง
การพัฒนาทักษะความคิดเพื่อการปรับปรุงงาน
โดย พลตรี เอนก แสงสุก
โดย พลตรี เอนก แสงสุก
ผู้ทรงคุณวุฒิ
กองบัญชาการทหารสูงสุด
วิเคราะห์ศัพท์
การพัฒนา
-- การทำให้ดีขึ้น เจริญขึ้น ทันสมัยขึ้น ก้าวหน้าขึ้น
ทักษะความคิด -- ความชำนาญในการคิด
การปรับปรุงงาน -- การทำให้งานดีขึ้น
รวดเร็วขึ้น
เรียบร้อยขึ้น
สรุปเป็น
“การทำให้เกิดความชำนาญในการคิดเพื่อการปรับปรุงงาน”
หัวข้อบรรยาย ๑.
วัตถุประสงค์ในการปรับปรุงงาน
๒.
การพัฒนาความคิดเพื่อการปรับปรุงงาน
๓. การสร้างนิสัยหรือวิธีฝึกให้เป็นคนช่างคิด
๓. การสร้างนิสัยหรือวิธีฝึกให้เป็นคนช่างคิด
๔.
เทคนิควิธีที่จะช่วยให้เกิดการปรับปรุงงาน
๕. การปรับปรุงงาน
๖. สรุป
๖. สรุป
๑.
วัตถุประสงค์ในการปรับปรุงงาน
๑.๑ ทำไมบุคลากรภาคเอกชนจึงคิดปรับปรุงงานอยู่เสมอ
?
- เพราะเป็นการแข่งขันกันนำเสนอสิ่งที่ดีกว่า
- เพราะผู้บริโภคชอบอะไรใหม่ ๆ เสมอ
- เพื่อให้ได้กำไรมากขึ้น
- พนักงานทุกคนได้รับแบ่งปันผลกำไรในรูปโบนัส
- ถ้าไม่ปรับปรุงงานอยู่เสมอ อาจถูกเชิญออก ให้ออก ไล่ออก
- ขั้นตอนการทำงานน้อย
- ผู้ตัดสินใจน้อย
- ค่าตอบแทนสูง
- เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น
๑.๒ ทำไมบุคลากรภาครัฐจึงคิดปรับปรุงงาน หรือดำเนินการปรับปรุงงานได้น้อยกว่าภาคเอกชน
?
- เพราะเป็นงานบริการ ไม่ใช่ธุรกิจหากำไร
ไม่มีการแข่งขัน
- เพราะผลที่ได้รับจากการพัฒนาเป็นเพียง “ความพอใจ” ของผู้ใช้บริการ
ไม่ใช่
“ผลกำไร”
- บุคลากรภาครัฐกินเงินเดือน ไม่ได้รับเงินเพิ่มจากผลกำไร
- ถ้าไม่ปรับปรุงงาน ก็ไม่มีการเชิญออก
ให้ออก
ไล่ออก
เว้นแต่กระทำผิดวินัยร้ายแรง
- งานบางงานต้องใช้งบประมาณราชการ ถ้าได้น้อยก็ปรับปรุงได้น้อย
- มีระบบพวกพ้อง
- เป็นองค์กรขนาดใหญ่
- มีสายการบังคับบัญชา และขั้นตอนการตัดสินใจมาก
- ความรู้ความสามารถของบุคลากรบางส่วนสู้ภาคเอกชนไม่ได้
- หัวหน้างานบางคนไม่รับฟังความคิดเห็นลูกน้อง
- ถูกปลูกฝังความคิด หรือรูปแบบการทำงาน โดยคนรุ่นก่อน
- มีกฎ
ระเบียบ
ข้อบังคับ
มาก
- เปลี่ยนนโยบายตามผู้บริหารอยู่เสมอ
- มีการโกงกิน
- กลัวว่าการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เพิ่มงาน เพิ่มภาระ
๑.๓ ทำไมจึงต้องปรับปรุงงาน ?
- เพื่อให้งานดีขึ้น เร็วขึ้น สะดวกขึ้น มากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- เพื่อให้ได้ผลงานมากขึ้น ได้ผลกำไรมากขึ้น
- เพื่อให้ได้รับความสนใจ ความพอใจจากผู้บริโภค
หรือผู้ใช้บริการมากขึ้น
- เพื่อลดต้นทุน ลดขั้นตอน
- เพื่อช่วยพัฒนาองค์กร และประเทศชาติโดยรวม
๒.
การพัฒนาความคิดเพื่อการปรับปรุงงาน
- ต้องพัฒนาทั้งความคิดของ ๑. ตัวเอง ๒. หัวหน้าหน่วยรองหรือลูกน้อง
๒.๑ การพัฒนาความคิดของตัวเอง
- จะปรับปรุงงานต้องปรับปรุงตัวเองก่อน เพราะจะไม่ได้รับ
“ความร่วมมือ - ร่วมใจ” หรืออาจได้รับแต่
“ความร่วมมือ”
ไม่ได้รับ
“ความร่วมใจ”
- ต้องเริ่มที่ใจ -- ตั้งใจที่จะคิด ที่จะริเริ่ม
-- ตั้งใจว่าจะไม่ทำงานแบบตั้งรับ
-- ตั้งใจว่าจะทำงานเชิงรุก
-- ตั้งใจว่าจะริเริ่มพัฒนาไม่หยุดนิ่ง
-- ตั้งใจว่าจะสู้ไม่ถอย
-- ตั้งใจว่าจะเป็น
“คนแก่ความรู้
ใช่อยู่นาน”
-- ตั้งใจว่าจะไม่ทำงานแบบ
“ทำอาหารตามสั่ง”
-- ตั้งใจที่จะยอมรับฟังความคิดของผู้อื่น
- ปรับทัศนคติตัวเองและลูกน้อง
-- ไม่ควรคิดว่ายิ่งริเริ่มยิ่งเพิ่มงาน ยิ่งเหนื่อย
-- เลิกคิด เลิกพูดว่า “เรื่องที่แล้ว ครั้งที่แล้ว ปีที่แล้ว เขาก็ทำกันมายังงี้”
-- ไม่คิดว่า จะเกษียณแล้ว ใครอยากทำอะไรก็ทำไป
-- ไม่คิดว่า ทำงานไปเรื่อย ๆ
ไม่ได้หวังสองขั้น ใครอยากได้ก็ทำไป
-- เปิดใจรับความคิดใหม่ของคนใหม่ ไม่คิดว่าตัวเองอยู่มาก่อน
-- คิดว่าทุกคนมีส่วนรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ปล่อยให้หัวหน้าคิดคนเดียว
-- คิดว่าทุกคนมีส่วนรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ปล่อยให้หัวหน้าคิดคนเดียว
-- คิดว่าการปรับปรุงงานจะทำให้ช่วยผู้ป่วยได้ดีขึ้น เร็วขึ้น มากขึ้น
-- คิดว่าการปรับปรุงงานอาจทำให้ทุ่นแรง ทุ่นเวลา ลดขั้นตอน ได้
- เมื่อ
“ทำใจ”
และ
“ปรับทัศนคติ”
ได้แล้ว
จึงเริ่มพัฒนาความคิดที่จะปรับปรุงงานต่อไป
- วิธีที่
๑ โดยการตั้งใจว่า
-- จะทำวันนี้ให้ดีกว่าวันก่อน
-- จะทำงานนี้ให้ดีกว่างานที่แล้ว
-- จะทำเรื่องนี้ให้ดีกว่าเรื่องที่แล้ว
- วิธีที่ ๒
โดยการถามตัวเองอยู่เสมอว่า
๑. งานในหน้าที่ ทำครบถ้วน ถูกต้อง รวดเร็ว ไม่ผิดพลาด ไม่บกพร่องแล้วหรือยัง
๒. วิธีทำให้เร็ว ให้มาก ให้สะดวก ให้สมบูรณ์ กว่านี้ มีหรือไม่
๓.
จะทำอย่างไรเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย ได้มาก ได้สะดวก ได้รวดเร็วกว่านี้อีก
๔. หน่วยงานอื่นที่ทำงานลักษณะเดียวกับเรา เขาทำอย่างไร
- วิธีที่ ๓
โดยการใช้หลักอริยสัจสี่พิจารณาทุกเรื่อง (หรือหัวข้อการเขียนข้อพิจารณาของฝ่ายอำนวยการ)
๑. ทุกข์
- ปัญหา
(มีข้อขัดข้องอะไรในการทำงาน)
๒.เหตุให้เกิดทุกข์
- ข้อเท็จจริง
(ข้อขัดข้องนั้นเกิดจากอะไร)
๓.ทางสู่ความดับทุกข์ - ข้อพิจารณา (มีทางแก้ข้อขัดข้องอย่างไรบ้าง)
๔.วิธีการพ้นทุกข์
- ข้อเสนอ
(ทางแก้ข้อขัดข้องที่ดีที่สุดคืออะไร)
- สำรวจตัวเองหรือหน่วยงานว่า ทำงานเต็มที่ เต็มเวลา แล้วหรือยัง ทำไมจึงถูกตำหนิว่าไม่เรียบร้อย ว่าช้า -
-- ดูที่ คน + เครื่องมือ ในเรื่อง ความพอเพียง ประสิทธิภาพ แล้วแก้ให้ตรงจุด
-- คนไม่พอขอเพิ่ม บรรจุ จ้างเพิ่ม
-- คนไม่มีประสิทธิภาพ -- ว่ากล่าวตักเตือน
ฝึกสอน
สับเปลี่ยนหน้าที่ ย้าย
ส่งคืน
-- เครื่องมือ -- ไม่พอ - ขอเพิ่ม เก่า - ขอใหม่ ใช้เครื่องมือแทนคน
- ดูตัวอย่างความคิดที่ดีของ คนอื่น หน่วยงานอื่น ของ ผู้บังคับบัญชา นำมาประยุกต์ใช้
- ประสานงาน
พูดคุย ขอดูงาน
หน่วยงานอื่นที่ทำงานลักษณะเดียวกัน
แล้วนำมาพิจารณาใช้
- พยายามคิดเสมอว่า งานที่ทำอยู่ จะนำคอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีอื่นเข้ามาช่วยได้หรือไม่อย่างไร
- สังเกตการคิดของผู้บังคับบัญชา ฝ่ายอำนวยการ หรือบุคคลสำคัญ เป็นตัวอย่าง
- ไม่ยึดติดกับระเบียบข้อบังคับหรือตัวอักษรเกินไป เพราะระเบียบเหล่านั้นก็เกิดจากความคิดของคนในยุคก่อน ๆ หากเรามีความคิดดีกว่าก็อาจเสนอแก้ไขได้ ให้เหมาะกับยุคสมัย
- ใช้การระดมความคิดภายในหน่วยงาน เพื่อร่วมกันหาวิธีที่ดีที่สุด
- คิดทำงานเชิงรุก เหมือนการรบในสนาม
จุดไหนอ่อนต้องจัดกำลังเสริม ใครอ่อนล้าต้องเปลี่ยนตัว
สับเปลี่ยนหน้าที่กันบ้าง
- คิดวาดมโนภาพลำดับงานแต่ละงาน ตั้งแต่ต้นจนจบ ว่าจะเกิดปัญหาข้อขัดข้องอะไรบ้าง
แล้วหาทางป้องกันไว้ล่วงหน้า ไม่รอให้เกิดปัญหาก่อน
แล้วหาทางป้องกันไว้ล่วงหน้า ไม่รอให้เกิดปัญหาก่อน
๒.๒ การพัฒนาความคิดของหัวหน้าหน่วยรองหรือลูกน้อง
- เป็นหัวหน้าต้องพัฒนาความคิด ทั้งของตัวเอง และของหัวหน้าระดับถัดลงไป
โดยการถามความเห็น เรียกมาหารือ สั่งให้ไปคิดมาคุยกัน
หรือคิดมาเสนอในที่ประชุม
- สั่งงานแบบมอบภารกิจ ไม่ต้องสั่งวิธีปฏิบัติ
(ถึงแม้เราจะรู้วิธีปฏิบัติในเรื่องนี้มาก่อน)
- มอบให้เขารับผิดชอบ เพื่อฝึกให้คิด ไม่ใช่โยนความรับผิดชอบ
ให้ลูกน้องทำการแทน (เรื่องที่อาจถูกนายตำหนิ)
โดยอ้างว่า
“เพื่อฝึกความคิดลูกน้อง”
- เป็นหัวหน้าอย่าแย่งหัวหน้าหน่วยรองคิดเสียทั้งหมด ฝึกให้เขาคิดเองบ้าง
- เป็นหัวหน้าอย่ารอฟังแต่ความคิดของนาย เราก็ต้องเตรียมคิดไว้เสนอ
- เปิดโอกาสให้ลูกน้อง แสดงความคิดเห็น
เสนอแนะในการปรับปรุงงานได้ ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
- เมื่อลูกน้องเสนอความคิด ต้องสนใจให้ความสำคัญ
กล่าวชมให้กำลังใจไว้ก่อน รับฟังไว้ก่อน ถ้าเราเห็นจุดอ่อน
ก็ถกแถลงกันด้วยเหตุผล ไม่พูดให้เขาเสียกำลังใจ
๓.
การสร้างนิสัยหรือวิธีฝึกให้เป็นคนช่างคิด
๑. ฝึกคิดจากเรื่องส่วนตัวในชีวิตประจำวัน หาทางใหม่ วิธีใหม่ -- การขับรถ
๒.ดูทีวี หนังสือพิมพ์ แล้วคิดตาม ทั้งข่าว ทั้งโฆษณา
๓. พบเห็นใครทำอะไร ลองคิดในใจว่า เรื่องนี้งานนี้ถ้าเป็นเราจะทำยังไง อย่าคิดว่า “ธุระไม่ใช่”
๔. ลองแสดงความคิดเห็นในอินเตอร์เน็ตดูบ้าง แต่ให้มีสาระในลักษณะ “เสนอแนะเพื่อสร้างสรรค์”
ไม่ใช่
“ตั้งกระทู้เพื่อระบายอารมณ์”
๔.
เทคนิควิธีที่จะช่วยให้เกิดการปรับปรุงงาน
- สอบถาม ปัญหา ข้อขัดข้อง และคำแนะนำ จากผู้ที่เคยทำงานนั้น ๆ มาก่อน หรือดำรงตำแหน่งหน้าที่นั้น ๆ
มาก่อนเรา
- ศึกษาเรื่องลักษณะเดียวกัน ที่เคยทำมาก่อนแล้ว
นำปัญหาข้อขัดข้องมาแก้ไขไม่ให้เกิดซ้ำ
คิดปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น
ไม่คิดว่า
“เอาเหมือนเดิม” ไปเสียทุกเรื่อง
(แต่ถ้าของเดิมดีแล้วก็ใช้ได้)
- งานสำคัญ เมื่อจบภารกิจแล้ว
ควรมีการรายงานสรุปผลการดำเนินงาน และปัญหาข้อขัดข้อง
กับข้อเสนอแนะในการแก้ไขในครั้งต่อไป (ต้องเปลี่ยนทัศนะคติว่า
หากรายงานว่าหน่วยเรา
หรืองานที่เรารับผิดชอบมีปัญหาข้อขัดข้อง จะถูกผู้บังคับบัญชามองไม่ดี)
- เมื่อถึงครั้งต่อไปหรือปีต่อไปจะทำงานนั้นอีก ก็ควรนำรายงานนั้นมาพิจารณา
หรือกำหนดเป็นหัวข้อหรือระเบียบวาระการประชุม ก่อนแบ่งมอบงานครั้งใหม่
- ทำแฟ้มบันทึกหรือถ่ายเอกสาร เรื่องที่เคยถูกผู้บังคับบัญชาตำหนิ ทั้งของเราและหน่วยอื่น
และหาทางแก้ไขไม่ให้ผิดซ้ำ ไม่ปล่อยให้ลืมเลือนไปตามกาลเวลา
- ทำแฟ้มบันทึกคำพูดของผู้บังคับบัญชาที่เป็นลักษณะ “นโยบายหรือความคิด”
แล้วหาทางทำให้ได้ตามนโยบายหรือความคิดนั้น
- การ
“เตรียมการ”
และ
“การซักซ้อม”
ที่ดี
จะทำให้เห็น
“ปัญหาข้อขัดข้อง” ก่อนถึงวันจริง ซึ่งสามารถนำมา “ปรับแผน” หรือ “ปรับปรุงงาน” ได้
๕.
การปรับปรุงงาน
๕.๑ หลักการ
- ลดขั้นตอน
- รวมงานลักษณะเดียวกัน
- บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ
(One stop service)
- กระจายการบริการให้เพียงพอ
- ระดมทรัพยากร
- ใช้สายการบังคับบัญชา
- ใช้เทคโนโลยี
- ทำงานได้โดยต่อเนื่อง
- จัดระบบจัดระเบียบ
- รับฟังความคิดเห็น
๕.๒ วิธีการ
- ลดขั้นตอน ได้แก่ ลดขั้นตอนเอกสาร มอบอำนาจการอนุมัติและลงนาม
ฯลฯ
- รวมงานลักษณะเดียวกันไว้ด้วยกัน
เช่น งานกำลังพล งานกรรมวิธีข้อมูล ของสองหน่วย
- บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ
เช่น
ใช้เจ้าหน้าที่จำนวนน้อยให้บริการได้ทุกเรื่อง
ฯลฯ
- กระจายการบริการให้เพียงพอ
เช่น
ตำบลจ่ายยาของโรงพยาบาล
ห้องสมุดของสถานศึกษาขนาดใหญ่
ตู้เอทีเอ็ม
โต๊ะเขียนคำร้องพร้อมตัวอย่าง
ฯลฯ
- ระดมทรัพยากร เช่น บางสถานการณ์หรือบางภารกิจ อาจต้องทำงานแบบ “รวมการ”
โดยการระดมเจ้าหน้าที่หรือเครื่องมือของทุกหน่วยช่วยกันทำงานนั้น
- ใช้สายการบังคับบัญชา
บางงานต้องยึดถือสายการบังคับบัญชา
ไม่ก้าวก่าย
ไม่ข้ามขั้นตอน
- ใช้เทคโนโลยี เช่น
บันทึกข้อมูลลงคอมพิวเตอร์แทนการจดบันทึกด้วยมือลงเอกสาร
การออกใบเสร็จรับเงิน
ฯลฯ
- ทำงานได้โดยต่อเนื่อง
ได้แก่ มอบงานหนึ่ง ๆ
ให้มีผู้รับผิดชอบอย่างน้อยสองคนเพื่อให้ทำงานแทนกันได้เมื่ออีกคนหนึ่งไม่อยู่
การให้บริการโดยไม่มีการพักเที่ยง
เตรียมการทำงานบางเรื่องเมื่อไฟฟ้าดับโดยใช้กระดาษ ปากกา เครื่องพิมพ์ดีด
- จัดระบบจัดระเบียบ
ได้แก่
จัดระบบงานให้สั้น สะดวก รวดเร็ว แก่ผู้มาติดต่อ จัดระบบการเดินเอกสาร
จัดระเบียบการเก็บข้อมูลและเอกสารให้ค้นหาง่าย
ให้เป็นส่วนกลางไม่เก็บตามโต๊ะหรือตู้ส่วนตัว
- รับฟังความคิดเห็นของทั้ง
ผู้ร่วมงาน
ผู้ใต้บังคับบัญชา
และผู้มาติดต่อ เช่น ติดตั้งตู้รับความคิดเห็น ฯลฯ แล้วนำมาพิจารณาปรับปรุง พัฒนางาน ให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพยิ่ง ๆ ขึ้น
๖.
สรุป
- การพัฒนาทักษะความคิดเพื่อการปรับปรุงงาน ต้องเริ่มที่ใจ ทำใจ เปิดใจ ตั้งใจ
- ต้องปรับทัศนคติทั้งของตัวเองและลูกน้องให้สนใจที่จะคิดเพื่อปรับปรุงงาน
- ต้องพัฒนาทักษะความคิดทั้งของตัวเองและลูกน้อง
- โดยการถามตัวเองอยู่เสมอว่า
๑. งานในหน้าที่ ทำครบถ้วน ถูกต้อง รวดเร็ว ไม่ผิดพลาด ไม่บกพร่องแล้วหรือยัง
๒. วิธีทำให้เร็ว ให้มาก ให้สะดวก ให้สมบูรณ์ กว่านี้ มีหรือไม่
๓.
จะทำอย่างไรเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยให้คลายทุกข์กายทุกข์ใจ ได้มาก ได้สะดวก ได้รวดเร็ว กว่านี้อีก
๔. หน่วยงานอื่นที่ทำงานลักษณะเดียวกับเรา เขาทำอย่างไร
- แนวทางการปรับปรุงงาน ได้แก่
๑. ลดขั้นตอน
๖. ใช้สายการบังคับบัญชา
๒. รวมงานลักษณะเดียวกัน
๗. ใช้เทคโนโลยี
๓.
บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ
๘.
ทำงานได้โดยต่อเนื่อง
๔.
กระจายการบริการให้เพียงพอ
๙.
จัดระบบจัดระเบียบ
๕. ระดมทรัพยากร
๑๐. รับฟังความคิดเห็น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น